ผมเคยสร้างพระกริ่งของหลวงปู่กับ คุณ วีระพงษ์ แซ่เตี้ย
อยู่รุ่นนึงมีพระอะไรเท่าไหร่ทุ่มใส่ลงไปเป็นชนวนหมด (ประมาณ 200
องค์ และเป็นเนื้อเงินเสียส่วนมาก)
และได้ทองแดงที่ดาดเรือพระที่นั่งนารายณ์ทรงสุบรรณ ชนวนรูปหล่อครูบาบุญปั๋น
วัดร้องขุ้ม ชนวนพระกริ่งไจยเบงชร ครูบาอิน แผ่นทองแดงกะไหล่ทองที่ดาดองค์
พระธาตุหริกุญไชย ฯลฯ อีกมากมาย
หล่อเป็นเนื้อชนวนล้วน ๆ ได้กี่สิบองค์จำไม่ได้
แต่หล่อเป็นเนื้อทองผสมน่าจะ ราว 1000 องค์
พระกริ่งชุดนี้นี้หลวงปู่เสกมานับครั้งไม่ถ้วน หลวงพ่ออุตตมะเสกน่าจะ 2-3
ครั้ง เนื้อทองผสมที่มีอยู่ 100กว่าองค์
ก็ถายหลวงปู่ไปแจกพวกเจ้าสีหณุที่พนมเปญหมดแล้ว เหลืออยู่ 6
องค์ อยู่กับแม่ 1 องค์ (ปัจจุบัญ 2559
เหลือ 2 องค์)
พระกริ่งองค์ที่อยู่กับแม่นี้ แม่เคยเอาทำน้ำมนต์เพราะ
วันนั้นผมได้โทรไปหาแม่ถามสารทุกข์สุก ๆ ดิบ ๆ ตามประสาแม่ลูก แม่ก็บอกว่าปวดฟันมากจะไปหาหมอถอน
วันสองวันนี้ปวดจนนอนไม่หลับ ผมก็จำได้ว่าเคยให้พระกริ่งแม่ไว้ 1
องค์เลยบอกถ้าเชื่อเดี๋ยว เอาพระกริ่งแช่น้ำ ท่อง นะเมติ และระลึกถึงหลวงปู่ฯ ท่าน
แล้วดื่มดู แม่ก็เชื่อทำตาม
พอวันรุ่งขึ้นเราโทรไปอีก แม่ก็บอกว่า ....เมื่อคืนฉันทำตามเราบอกพออมน้ำมนต์ปุ๊ป
ฟันมันก็หายปวดทั้นที.... และต่อมาทราบว่าไม่เคยปวดอีกเลย
จนกระทั่งผมกลับไปอยู่บ้านและลืมเรื่องนี้ไปแล้ว มาวันนึงแม่อาบน้ำ พออาบเสร็จแม่
ก็ถือเอาฟันซี่นึงมายื่นให้ ผมถามว่าแม่ถอนหรือ แม่ก็ว่า
.....ปล่าวแปรงฟันแล้วมันหลุดเอง ซี่นี้แหละที่ปวดแล้วฉันกินน้ำมนต์หลวงปู่
เมื่อก่อนนี้เคยได้ยินหลวงปู่ท่านเล่าเรื่องทีท่านพาเจ้าสีหณุและพวกหนีพวกเขมรแดงออกมาจาก
เขาพนมมาลัย ประเทศเขมร และในประวัติที่คนอื่นเอาไปเขียนไว้ก็มีอยู่
แต่เราลูกศิษย์หัวดื้อของท่าน ก็ยังถือกาลามสูตรไว้อย่างเหนียวแน่นเช่นเคย
จนเมื่อประมาณปี 2545
ได้มีข้าราชการชั้นสูงของเขมรมาทำพิธีอะไรสักอย่างกับหลวงปู่ฯ ท่าน
พอกลับไปก็ไปทูล พระญาติของเจ้าสีหณุ พระญาติพระองค์นั้นก็เสด็จมาทำพิธีบ้าง
พอหลวงปู่ฯท่นทราบว่า เจ้าพระองค์นี้เป็นพระญาติของเจ้าสีหณุ หลวงปู่ ฯ ท่านก็
บอกว่า.....ให้บอกเจ้าสีหณุด้วยว่าพระครูพนมมาลัยยังไม่ตาย....
เจ้าพระองค์นั้นก็นำความไปกราบบังคมทูลเจ้าสีหณุ
เมื่อเจ้าสีหณุท่านทราบความท่านก็เลยนิมนต์หลวงปู่ไปที่พระราชวังที่กรุงพนมเปญ
หลายต่อหลายครั้งนับจากนั้นมาซึ่งผมยังเคยเห็นรูปถ่ายตอนหลวงปู่ฯ
ท่านไปที่นั่นด้วย ปลื้ม....ครับ
............แต่ที่สำคัญคือที่มาที่ไปของเรื่องมันมีอยู่ว่า...........
เมื่อตอนที่เขมรเกิดสงครามกลางเมือง เจ้าสีหณุและกองทหาร
ได้พากันไปหลบที่ภูเขา พนมมาลัย
แล้วโดนทหารฝ่ายตรงข้ามตีกรอบล้อมจะบุกขึ้นมาจากตีนเขา
บุญยังรักษาหลวงปู่ซึ่งตอนนั้นท่านยังธุดงค์อยู่ ได้ผ่านไปธุดงค์ที่เขาลูกนั้นพอดี
พอหลวงปู่ฯท่านทราบเรื่อง ท่านก็ทูลเจ้าสีหณุว่าไม่เป็นไร
จะพาเจ้าสีหณุและกองทหารของท่านฝ่าทหารที่ล้อมเขาหมู่นั้นไปเอง
เจ้าสีหณุก็ว่า ถ้าหลวงปู่ฯท่านพาท่านและทหารฝ่าวงล้อมศัตรูออกไปได้จริง
จะตกรางวัลบำเน็จเป็นแผ่นดิน ที่พระองค์ถือครองให้ครึ่งนึง
แต่หลวงปู่ท่านก็บอกปฏิเสธไป ท่านว่าท่านเป็นพระไม่ทราบจะเอาแผ่นดินไปทำอะไร
แล้วท่านก็บอกเจ้าสีหณุว่า ให้เจ้าสีหณุ จับชายจีวรท่านไว้ แล้วให้ทหารทุก ๆ
คนแต่ละคนก็จับชายเสื้อเจ้าสีหณุและจับต่อ ๆ กันไปเรียงไปจนครบทุกคน
แล้วท่านก็พาเจ้าสีหณุและพวกเดินลัดเลาะผ่านกองกำลังทหารข้าศึกหมู่นั้นไปได้อย่างปลอดภัยทุกคน
นี่เป็นอีกเรื่องนึงในการกำบังกายของหลวงปู่ท่าน ท่านกล่าวเสมอว่าพระท่าน
อย่าทำองค์ใหญ่เวลามีภัยจะได้อมเข้าปากได้ ท่อง นะเมติ ๆ
แล้วครูบาอาจารย์จะมากำบังให้ศัตรูมองไม่เห็น ได้ฟังก็(กาลามสูตร)
พอมีหลักฐานพยานให้เห็นอย่างนี้เลยเชื่อท่านมากขึ้นไปอีกขั้นนึง
หลวงปู่ท่านไหว้ครูลงกระหม่อมปีละ 3 ครั้ง วันมาฆบูชา เข้าพรรษา
และก็ออกพรรษา รวม 3 ครั้ง
ทุกครั้งจะมีพี่น้องชาวกัมพูชาเดินทางมาร่วมพิธีด้วยทุกครั้ง บ้างก็เดินมาก็มี
หลายคนมาทุกครั้ง หลายคนมาทุกปี เพราะศัทธาท่านตั้งแต่ท่านยังธุดงค์อยู่ในเขมร
เมื่อครั้ง 30 กว่าปีก่อน และยังเล่าว่า
........ลูกปืนเท่าปลายนิ้วนะเรื่องเล็ก สมัยหลวงปู่ฯท่นอยู่เขมร
ลูกปืนลูกเท่าศอก(เขาเรียกปืนคอ) ยังทำอะไรพวกลูกศิษย์ไม่ได้เลย ........
บางท่านก็เป็นพระสงฆ์
พอเราเข้าไปคุยด้วยคุยไปคุยมาก็พูดอยู่ประโยคนึงเราจำไม่รู้ลืมเลยท่านว่า........หลวงปู่หงษ์
น่ะท่านเป็นพระในตำนานของประเทศเขมร...................
และความศัทธาเหล่านี้แม้ทุกวันนี้ก็ยังคงอยู่ยังไม่จางหายไป
แม้แต่เมื่อครั้ง ปี 2545
ที่หลวงปู่ท่านกลับไปเหยียบแผ่นดินเขมรอีกครั้ง
ชนชาวเขมรตามชายแดนยังมารอรับท่านเป็น พันคน
บางคนเป็นลูกศิษย์ท่านตั้งแต่เมื่อครั้ง 30 กว่าปีที่แล้วนู้นก็มีมาก
เหตุการณ์ที่ "หมู่บ้านกรู" ประเทศกัมภูชา ณ
หมู่บ้านนี้เองที่ชาวบ้านต่างกล่าวขานคุณงามความดีในวีรกรรมหลายๆสิ่งที่ไม่อาจลืมเลือนได้
จากหัวใจของทุกคน
แม้หลวงปู่จะธุดงค์กลับประเทศไทยแล้วก็ตามจนขณะนี้หลวงปู่มีอายุย่าง 85 ปี
จึงได้เดินทางไปเยี่ยมชาวกัมพูชา เมื่อชาวบ้านทราบข่าวว่าหลวงปู่จะมาต่างดีใจ
ครั้นหลวงปู่ไปถึงชาวบ้านเกือบพันคนต่างนอนคว่ำเรียงรายตั้งแต่ถนนจนถึงศาลา
แล้วอาราธนาให้หลวงปู่เดินเหยียบบนหลังของเขาเหล่านั้น
หลวงปู่จะไม่เดินชาวบ้านเขาก็ไม่ยอม กล่าวว่ายอมพร้อมพลีกายด้วยความเคารพบูชา
หลวงปู่ขัดเขามิได้จึงยอมเดินบนหลังของเขาเหล่านั้น แม้แต่ผู้เฒ่าอายุราว 100
กว่าปี เมื่อทราบข่าวว่าหลวงปู่หงษ์
มาก็อุตส่าห์ลากไม้เท้าหลังงองกเงิ่นเดินทางมากราบบูชา
ผู้ติดตามหลวงปู่ทุกคนต่างแปลกใจและถามว่าทำไมจึงศรัทธาองค์หลวงปู่ขนาดนี้
พวกเราทุกคนต่างก็ถึงบางอ้อ! เพราะพ่อเฒ่าต่างเล่าให้ฟังว่า .. “หลานเอ๋ย
ถ้าวันนั้นหลวงพ่อไม่ได้อยู่กับเราแล้ว
หมู่บ้านกรูทั้งหมู่บ้านก็แตกกระจายป่นปี้ไปแล้ว เพราะมันเป็นเรื่องแปลก
ตาเองก็ไม่เคยเห็น ว่าลูกระเบิด และลูกปืนใหญ่ขนาดแตงโม มันตกมาบนหลังคาหญ้าแฝก
แปลกที่มันไม่ทะลุหล่นลงมา กลับกลิ้งคลุกๆ ไปตามทางลาดชายคา
พวกเราก็นึกว่าต้องตายแน่ๆ ถ้าลูกระเบิดตกกระทบกับพื้นดิน
ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงดังตุ้บ! ปรากฏว่าลูกปืนจมดินเกือบครึ่งลูก
แต่มันอัศจรรย์มาก หลานเอ๋ย มันไม่ระเบิด! "....
เท่านั้นแหละเม็ดกรวด เม็ดหิน
แม้แต่ดินใต้แคร่ไม้ไผ่ เขายังขุดไปลึกเป็นเมตรเอาไปปั้นเป็นลูกอมตากแดด
ครั้นหลวงพ่อกลับประเทศไทยไปแล้ว แคร่ตัวที่ท่านนั่งก็ยังไม่มีเหลือ
ชาวบ้านเขาจุดธูปเอามาพลีแบ่งกันจนหมดไม่เหลือหรอ หลวงพ่อเน้อ!
พร้อมกับยกมือไหว้ทางหลวงปู่หงษ์ พวกตาและชาวบ้านรอดตายมาได้ทุกคน
เสมือนตายแล้วเกิดใหม่ เท่ากับหลวงพ่อท่านมาชุบชีวิตให้ใหม่”
ดังนั้นจึงไม่แปลกใจว่าทำไมชาวบ้านเขาจึงพร้อมใจกันยอมนอนคว่ำให้หลวงปู่ท่านเดินบนหลังของพวกเขา
ชาวบ้านทุกคนเคารพรักหลวงปู่เสมือนเป็นเทพของพวกเขาทีเดียว เพราะมิใช่ว่าหลวงปู่
จะป้องกันภัยให้พวกเขาได้อย่างเดียว แต่หลวงปู่ได้แผ่เมตตาปล่อยสัตว์ ขุดบ่อ
ขุดสระ สร้างฝายน้ำล้น ปลูกป่า ปล่อยช้าง วัว ควาย เต่า งู ตะขาบ สัตว์ทุกชนิด
และสั่งห้ามมิให้ชาวบ้านทำลายป่าไม้
โดยอบรมสั่งสอนให้เห็นคุณและโทษของการไม่มีป่าไม้ไม่มีน้ำ
จะเกิดความเดือนร้อนนานาประการ พร้อมทั้งสอนให้ชาวบ้านทุกคนถือศีลห้า ห้ามดื่มเหล้าเมายา
แล้วครูอาจารย์ของหลวงปู่ท่านจะคุ้มครอง
ทุกคนเคารพศรัทธาในหลวงปู่ได้ประพฤติปฏิบัติตาม จึงมีแต่ความร่มเย็นเป็นสุข
ด้วยเหตุและผลหลาย ๆ
ประการที่กล่าวมานี้นั้นและอีกหลายเรื่องราวที่กล่าวต่อ ๆ ไป
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมผมจึง รักและเครพครูบาอาจารย์ของผมองค์นี้มากมายเหลือเกิน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น