คลังบทความของบล็อก

วันอังคารที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2560

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า 15

     

     ไม่ได้อัพบล็อกมานาน เพราะวุ่นวายเกี่ยวกับหน้าที่การงาน ช่วงนี้นักศึกษาปิดเทอม ก็พอจะมีเวลาว่างบ้าง ก็จะได้ทำสิ่งที่อยากจะทำ ให้สำเร็จ จะได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับ หลวงปู่ ให้ไว้เป็นบันทึกความทรงจำ เพื่อจะได้ไม่สูญหายไป ตามกาลเวลา

      เรื่องมีอยู่ว่าเมื่อก่อน ถ้าใครเคยไปหาหลวงปู่ช่วงปี 45 ถึงประมาณปี 50 อาจจะได้เคยพบเคยเห็น คุณแม่ชีท่านหนึ่ง รูปร่างเล็กเล็กผอมผอมแต่ท้องใหญ่ ซึ่งผมเองก็ได้มีโอกาสพูดคุยกับท่าน คุณแม่ชีก็เล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนคุณชีเธอไม่สบาย ท้องบวมขึ้น โดยไม่ทราบสาเหตุ ไปหาหมอที่โรงพยาบาล หมอก็ไม่ทราบสาเหตุ ที่แท้จริง จนมาระยะหลังอาการเครียดหนัก คุณชีเธอ ก็ไม่สบายถึงขั้นไม่รู้สึกตัว สามีจึงพามาหาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านก็ทำพิธีถอนของให้ ซึ่งขณะที่ทำพิธีนั้น คุณชีเธอก็ปัสสวะออกมามากมาย จนเต็มถุงเก็บปัสสาวะ

     และเมื่อสามีเธอได้สังเกตเห็นในถุงปัสสาวะเหมือนมีตะกอนดินตกตะกอนอยู่เป็นจำนวนมาก จึงมากราบเรียนถามหลวงปู่ ว่าคืออะไร หลวงปู่ท่านตอบกลับไปว่าเป็นดินป่าช้าดินผีที่เขาผสมมากับข้าวกับของกินมาให้นิดเดียว แล้วเขาก็ส่งเข้ามาได้เรื่อยๆ จนมันเยอะ ถึงขั้้นให้เกิดอาการเจ็บป่วยจนถึงตาย



      หลวงปู่ท่านยังบอกอีกว่าหลวงปู่ช่วยชีวิตได้ไม่ให้ตาย แต่ร่างกายโดนทำลายไปเยอะแล้วอายุจะไม่ยืน ก็เป็นจริงอย่างที่ท่านว่าหลังจากที่ หลวงปู่ท่านกล่าว เพราะหลังจากที่ผมได้รับฟังเรื่องราวจากคุณชีได้ไม่นาน คุณชีเธอก็ได้เสียชีวิตลง และเป็นเรื่องน่าแปลกอีกอย่างที่ควรบันทึกไว้ คือศพของเธอคุณหมอไม่สามารถกรีดเส้นเลือดเพื่อฉีดฟอมาลีนได้ จนสามีของคุณชี ได้โทรมากราบเรียนปรึกษาหลวงปู่ หลวงปู่ท่านจึงอนุญาตให้ผ่าเพื่อฉีดฟอร์มาลีนได้

    แสดงให้เห็นว่าลูกศิษย์คนใดก็ตาม ที่ได้ลงกระหม่อมผ่านพิธีไหว้ครู หรือไม่ว่าจะเป็นพิธีกรรมใดของหลวงปู่ หรือมีวัตถุมงคลใดใด และมีจิตใจเชื่อมั่นศรัทธาจริง อย่าว่าแต่จะคุ้มครองจนตลอดชีวิต แม้ตายไปแล้ว ครูบาอาจารย์ก็ยังแสดงให้ทราบ แสดงให้ได้รู้ ว่าครูบาอาจารย์ท่านรักษาอยู่จริงๆ

    และมีอีกอย่างนึง ที่อยากจะให้ท่านได้ทราบกันไว้ กล่าวคือ ครั้งหนึ่งผมเคยถามหลวงปู่ว่า  มีอะไรที่พระของหลวงปู่ กันไม่ได้บ้างหรือไม่ หลวงปู่ท่านนั่งนิ่ง ไปอึดใจหนึ่ง แล้วตอบว่า..... มี .....ของกิน(ถ้ามีพิษ)ต้องระวังเอาเอง ถ้ากินเข้าไปแล้วใครก็ช่วยไม่ได้ แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นกันได้ทุกอย่าง ผมก็เลย เรียนถามท่านว่ามี สิ่งใดที่จะป้องกันเรื่องการกินได้หรือไม่ ท่านก็เลยให้......คาถามาสามคำ....เอาไว้เสกข้าวเสกอาหารก่อนจะกิน ถ้าอาหารมีพิษหรือมีคุณไสยอยู่ เราจะไม่สามารถเคี้ยวอาหารนั้นหรือกลืนลงคอไปได้ให้คายทิ้งแล้วนำอาหารเครื่องดื่มนั้นไปทิ้งเสีย คาถาดังกล่าวมีเพียงสามคำจะขอมอบให้ลูกศิษย์หลวงปู่ทุกๆท่านเพื่อรักษาวิชาครูบาอาจารย์ไว้...คาถาคือ ....นะโตวะ....

    ไหนๆก็เล่าแล้ว ก็จะเลยเถิดไปอีกสักหนึ่ง เรื่อง คิอที่เชียงใหม่นี้ ตำบล ท่าศาลา มีอาจารย์อยู่คนหนึ่ง ชื่ออาจารย์..ว... ซึ่งกิตติศักดิ์ ก็คือ แกเป็นจอมขมังเวทย์ อันดับต้นๆ ถึงขั้นลองให้ดูได้ ทุกเมื่อทุกเวลา และเป็นศิษย์พี่ศิษย์น้องกับ ครูบาองค์หนึ่ง ซึ่งได้ฉายาว่าครูบาผีกลัว วัดท่านอยู่แถวสารภี

    อาจารย์ท่านนี้เวลาจะลองของให้ลูกศิษย์ดู จะใช้มีดปลายแหลม โดยเอาด้ามจับยันกับฝาบ้านไว้ และเอาด้านปลายแหลมหันปลายแทงออกมา แล้วเอาปลายแหลมจอดที่หน้าอกตัวเอง ให้ลูกศิษย์ดันตัวอาจารย์ให้เข้าหาปลายมีด ลูกศิษย์พยายามดันเท่าไหร่ คมมีดเราไม่สามารถทำอันตรายผิวหนังอาจารย์ได้ และแกยังเลื่องลือ เรื่อง เสน่ห์ เมตตามหานิยมเป็นอย่างมาก



      กล่าวกันว่าถ้าผู้หญิงคนใด อาจารย์..ว..เป่าหัวแล้ว แกจะต้องได้หญิงผู้นั้นป็นเมียทุกคน เรื่องมีถึงขนาดว่าผัวของผู้หญิง เอาปืนลูกซองมาตามถึงสำนัก จนแกต้องแก้ผ้าวิ่งหนีเข้าไปในวัด จนเป็นที่โจทย์จันกันทั้งบางก็มีมาแล้ว

      และอีกวิชาหนึ่งที่อาจารย์แกเชี่ยวชาญมากก็คือ การใช้ผี การเลี้ยงผี ไม่ว่าจะเป็นการ ทำลูกกรอก ทำสีผึ้ง ทำน้ำมันพรายทำซากศพต่างๆเพื่อเป็นพยนต์เฝ้าบ้าน ก็สามารถทำได้สารพัด แต่สุดท้ายยอาจารย์ก็มาสิ้นท่าเพราะข้าวเหนียวนึ่งปั้นเดียว

     ซึ่งจากเท่าที่ได้ฟังมาจากลูกศิษย์ใกล้ชิดของอาจารย์..ว..แกเล่าว่า มีคนเอาข้าวเหนียวมาให้อาจารย์ เป็นข้าวเหนียวดิบแต่เมื่อนึ่งแล้ว กลับสีไม่ขาวสะอาดเหมือนข้าวเหนียวทั่วไป แกยังทักอาจารย์ว่าอาจารย์อย่ากินเลยสีมันแปลกๆ

    แต่อาจารย์..ว..ก็ไม่สนใจ กินจนหมดคนเดียว หลังจากที่ได้กินข้าวเหนียวปั้นนั้นเข้าไปจนอิ่ม แกก็นอน แล้วไม่ได้ลุกขึ้นมาอีกเลย เพราะอาจารย์ก็นอนนิ่งไม่สามารถขยับตัวได้นานถึง 3 วัน   และเสียชีวิตในที่สุด จึงนำมาเล่าประกอบไว้เพื่อเป็นอุทาหรณ์

   สุดท้าย ถ้าการเผยแพร่ กิตติคุณของหลวงปู่ในครั้งนี้จะเกิดอานิสงส์อันใด ก็ขอน้อมอุทิศให้คุณชี ได้รับกุศลนี้อย่างเท่าเทียมกันในสัมปรายภพ ด้วยเทอญ




วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า 14


     รัก-ยม......สุดขลัง

     รัก-ยม....เครื่องรางชนิดหนึ่งที่ทำเป็นรูปเด็ก 2 คนยืนพนมมืออยู่ในขวดน้ำมันจันทร์ ตามตำนานมีเรื่องเล่าอยู่ว่า   


        สมัยหนึ่ง  ในป่าหิมวันต์  เมืองเมืองหนึ่ง  เมืองนี้เป็นเมืองเงียบสงบ มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทั้งนั้น  ในป่านั้นก็มีพระฤๅษีชีไพรนั่งบำเพ็ญตะบะเต็มไปหมด  ในขบวนเหล่าฤๅษีนั้นก็มีพระพหลฤๅษีอยู่องค์หนึ่งทึ่เป็นใหญ่กว่าฤๅษีทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่งฤๅษีพหลนั้นได้เดินออกจากสถานที่บำเพ็ญตะบะนั้นเพื่อออกแสวงหาผลไม้ในป่ามาฉันท์ขณะที่เดินผ่านสระน้ำในป่านั้น  ก็มีดอกบัวชูช่อยู่ดาษดื่นฤๅษีพหลก็  เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งนอนในดอกบัวนั้นจึงได้เก็มาเลี้ยงไว้ที่อาศรม  ฤๅษรพหลจึงตั้งชื่อสองกุมารน้อยว่ารัตตะกุมาร  กับ  ยมกะกุมาร ต่อมากุมารน้อยทั้งสองก็ได้
ร่ำเรียนวิชา  กับพระอาจารย์ดาบสองค์นั้นจะมีความสามารถรอบรู้หมดทุกอย่าง  ส่วนฤๅษีพหนลนั้นก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างหมดสิ้นในที่สุด  รัตตะกุมารกับยมกะกุมารก็เจริญเติบโต  จนเป็นหนุ่มใหญ่สมชายชาตรีทุกอย่าง สรุปแล้ว  รัตตะกุมารก็คือ  เจ้ารัก  ส่วนยมกะกุมาร ก็คือ  เจ้ายม

      สำหรับเจ้ารักนั้นเป็นผู้เลอโฉม  รวมทั้งหน้าตาลักษณะท่าทางมองแล้วเหมือนมานพน้อยมีรูปร่างมองแล้วไม่เบื่อตาเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป  ส่วนยมนั้นเล่าความหล่อเหลาด้อยกว่าเจ้ารักหน่อย  เพราะคนเราเกิดมารูปธรรมนามธรรมเหมือนอย่างกับเจ้ายมถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำไปนิด  ถึงกระนั้นฤๅษีพหลก็ยังมีความรัก  ความสงสารยิ่งขึ้น  จึงมอบวิชาต่าง ๆ ให้กับเจ้ายมเป็นพิเศษ
  
      เป็นอันว่า  เรื่องเชี่ยวชาญในเชิงขบวนยุทธจักร  และเวทย์มนต์คาถาต้องยกให้เจ้ายมคนเดียวยุคนั้นวันหนึ่ง  รัตตุมาร  (เจ้ารัก)  กับยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  สองพี่น้องก็คิดอยากจะไปเที่ยวหัวเมืองต่าง ๆ จึงได้กราบลาพระอาจารย์เพื่อออกแสวหาประสบการณ์ต่าง ๆ จึงได้ออกเดินทางจนไปถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความ ปรีชาสามารถต่าง ๆ ของกุมารน้อยทั้งสอง  จึงได้เข้ารับราชการกับพระราชาเมืองนั้น


         อยู่ต่อมาไม่นานพระราชาจึงแต่งตั้งให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  เป็นทหารเอาไปครองแคว้นเมือง  เมืองหนึ่ง  ส่วนยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  นั้น  พระราชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับในด้านหัวเมืองต่าง ๆ ระหว่างที่รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  รับราชการอยู่นั้นเพราะความหล่อเหลามานพน้อย  จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของพระธิดาลูกเจ้าเมืองนั้นทั้งสอง
จึงเกิดความรักใคร่กัยิ่งนานวันความรักยิ่งประทับแนบแน่นยิ่งขึ้น
  
         ต่อมาพระราชาได้ทราบข่าวของคนทั้งสองจึงไม่พอพระทัยทรงขัดขวางความรักทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พระราชา  ทรงตรัสว่า  เจ้ารักกับราชนิกุลไม่ควรคู่กัน”  พระราชาต้องการให้พระธิดาอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอีกเมือง
หนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระราชาจึงตัดสินใจส่งพระธิดาไปฝากไว้กับเจ้าเมือง ๆ หนึ่ง
  
         รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  ทราบข่าวว่าพระราชาได้แยกคนรักของตนไปอยู่เมืองอื่น  จึงเกิดความแค้นเคืองเป็นยิ่ง
นักเจ้ารักจึงวางแผนฆ่าพระราชาอยู่ตลอดเวลาส่วนเจ้ายมคนน้องถึงแม้จะปมด้วยของชีวิตแต่ก็เป็นคนรอบคอบเป็นคน อารมณ์เย็นจึงได้มายับยั้งการวางแผนฆ่าพระราชาเพราะมันจะมีความผิดอย่างมหันต์
  
         สามวันผ่านมาเจ้ารักก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจะนั่งจะเดินก็กระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลาเพราะด้วยพิษรักอันแสนเสน่หาของพระธิดาองค์นั้น  จึงหน้ามืดตามัว  คิดจะปลงพระชนม์จึงได้ลอบเข้าไปในพระราชวัง  จนถึงห้องบรรทมของพระราชาและได้ใช้อาวุธคู่มือ  สับพระราชาอย่างไม่มีชิ้นดี  จนพระราชาสิ้นพระชนม์
  
        เมื่อฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ทราบข่าวการกระทำของ  รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  จึงเกิดความโกรธแค้นเคืองยิ่งนัก ที่ศิษย์ของตนละเมิดคำสั่งสอน  จึงได้เรียกกุมารทั้งสองกลับมาเมื่อกุมารทั้งสองเดินทางกลับมาถึงอารมของฤๅษีพหลผู้เป็นอาจารย์  เจ้ารักจึงได้สำนึกผิดและได้สารภาพต่อผู้เป็นพระอาจารย์และมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ละเมิดคำ สั่งสอนของพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงได้ตัดสินใจให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก) สละเพศฆราวาส  ให้บวชประพฤติตนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อลบรอยมลทินที่ได้สร้างมาจนกว่าจะสิ้นชีวิตจากโลกไป


  
         ส่วนยมกะกุมารหรือเจ้ายมนั้น  ครั้นเมื่อสู่วัยชราจึงได้สละเพศฆราวาสได้ออกบวชตามพี่ชาย  (เจ้ารัก)  เพื่อบำเพ็ญศีลภาวนา  ตามอาศรมของพระฤๅษีในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วไป ต่อมาฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ถึงวัยชราใกล้ถึงการอายุขัย  ย่อมหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นคือ  มีเกิดก็ต้องมีดับเหมือนกันทุกชีวิต  ฤๅษีพหลจึงเรียกสองนักบวชผู้เป็นศิษย์มาพบอีกครั้งหนึ่งเมื่อสองพระกุมารมาพบพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงถามศิษย์ทั้งสองว่า  อยากได้อะไรที่เหนือกว่าโลกนี้”  สองจะปฏิบัติตามคำอาจารย์หมดทุกอย่าง”  ฤๅษีพหลจึงให้พรว่า  เจ้าทั้งสองแม้จะไปเกิดชาติปางใดก็ตามขอให้เสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่ว ๆ ไป  จะไม่มีศัตรูทั้งปวงจะไปเกิดบนโลกมนุษย์ไม่ได้  ท่านทั้งสองจะต้องเป็นวัตถุ  แต่ไม่มีชีวิตจิตใจวัตถุสิ่งนั้นจะต้องดังมีชื่อเสียงก้องยืนนาน
  
         เมื่อฤๅษีพหลกล่าวพรจบทานก็ถึงกาลกิริยาวิญญาณ  ก็ออกจากร่างไป  ณ  ที่นั้น  พระกุมารทั้งสองจึงได้ทำการขุดหลุมฝังศพของฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ในที่นั้น  ต่อมาไม่นานหลุมฝังศพของฤๅษีพหลก็เกิดมีไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมา  มีดอกซ้อนแพรวพราวอันสวยงาม  แถมยังเป็นไม้ที่ปวงชนรักใคร่กันทั่วไป  ดังประชาชนที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า
ต้นรักซ้อน
  

         ต่อมาก็ได้มีพันธ์ไม้อีกชนิดหนึ่งได้ขึ้นคู่เคียงกับต้นรักซ้อนมีผลชูช่ออันตระกานตาจนภายหลังมีชื่อขานนามว่ารักยม  ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกกันว่ามะยมด้วยข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นนักปราชญ์  คณาจารย์ต่างคิดค้นทำรักยกกันขึ้นมา  นี่แหละครับความเป็นมาของรักยมรวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว


       ผมเองก็เคยเจอฤิทธิ์ของเจ้าเครื่องรางประเภทนี้มากับตัวเองแล้ว กล่าวคือเมื่อตอนผมเป็นวัยรุ่นผมไปนอนค้างที่บ้านของอาผม ห้องที่ผมนอนผมนอนคนเดียว บ่ายวันหนึ่งว่างๆ ไม่ได้ไปไหนผมก็งีบนอนสักพัก ก่อนนอนก็ถอดพระที่แขวนคอ(หลวงปู่ทวด วัดบางนอน รุ่นแรก) ออกห้อยไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง และก็นอนหลับไป พอหลับไปได้พักใหญ่ก็โดนผีอำ ชะชะชะ....กล้ามาอำชัช ผมก็ดิ้นสู้มัน 

     สู้ยังไงก็ไม่หลุด มองไปรอบห้องทั้งๆที่ยังหลับก็เห็นพระที่แขวนไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง พอจิตมุ่งไปที่พระเท่านั้นแหละ ความรู้สึกเหมือนกับมีอะไร คล้ายกระแสไฟแตกดังเปรี๊ยะ แล้วกระเด็นไปตกบนหลังตู้ที่ตั้งอยู่ปลายตีนเตียง พอดิ้นหลุดลุกขึ้นได้ก็ไม่รอช้า โดดจากเตียงไปคว้าพระมาแขวนคอทันที ไม่เท่านั้นยังเอาเก้าอี้มาปีนดูหลังตู้ด้วย เพราะอยากรู้ว่ามันคืออะไร??

    พอปีนเก้าอี้ขึ้นไปดูก็เห็นขันโลหะขนาดย่อมๆใบนึง ข้างในใส่พวกเหรียญพระสีผึ้งตะกรุดเล็กตะกรุดน้อย และขวดรัก-ยมทีมัดรวบไว้ด้วยกันอีกประมาณ 20 กว่าขวด ผมก็..ชะชะชะ...รู้ละว่าอะไร เดี๊ยวพ่อเอาเผาไฟให้วายวอด แต่มานึกดูน่าจะเป็นของอาเขย เพราะขานั้นก็ชอบเล่นพระเครื่องเหมือนกัน เลยอย่าทำให้เสียน้ำใจกันดีกว่า แต่ว่านะห้องของอาเขยกับอาผมก็มี ห้องพระก็มี ทำไมไม่เอาไปไว้ กลับเอามาไว้ห้องรับรองแขก แต่ช่างเถอะผมก็เลยเอาขันเจ้าปัญหาไปซ่อนไว้ที่ห้องอื่นแทน ....  อิอิ
      
       สำหรับรัก-ยมของหลวงปู่ตัวผมเองไม่ได้เจอประสบการณ์ตรง กับตัวเองแต่น้องสาวเป็นคนเจอ เรื่องมันมีอยู่ว่า.........น้องสาวผมกับแฟนของเขาได้ไปทำบุญที่วัดหัวลำโพง และได้ไปบูชารักยมมา 1 ขวด ซึ่งในตอนนั้นน้องสาวผมกับแฟนเขาก็ไม่ได้สนใจ ว่าของวัดไหนหลวงพ่ออะไรอยากได้ก็บูชามา  เมื่อนำกลับมาบูชาที่บ้านของเค้าได้สักพักก็เกิดเรื่องแปลกๆ คือมีเสียงก๊อกแก๊กๆ ในบ้าน  2 คนนี่ก็ชักกลัว จนถึงจุดไคลแม๊กซ์จากเสียงก๊อกแก๊กๆ คราวนี้ ราวตากผ้า....เลื่อนเองได้....เหมือนมีคนเข็น ให้เขาได้เห็นกับตา............????!!!!!!!

       เจ้าน้องสาวผมก็เลยโทรมาปรึกษาผม อธิบายเล่าเรื่องอย่างกับผมเป็น พี่ป๋อง กพล ทองพลับ ที่กำลังออนแอร์ และขอร้องให้ช่วยมาเอารัก-ยมไปที เขาไม่กล้าไปหยิบไปจับเพราะมันหลอนเสียนี่กระไร ผมเองก็อยากรู้ว่าของอาจารย์ไหนหนอถึงได้เฮี้ยนปานนี้ เพราะถามน้องสาวเขาก็บอกว่าไม่รู้ อยากได้ก็บูชามาไม่ได้สนใจว่าเป็นของใครเสกใครสร้าง  ตกเย็นมาเลิกงานก็เลยแวะไปเอารัก-ยมที่ว่า

      พอไปถึงผมก็ไปหยิบเอาลงมาจากหิ้งพระเขา เอามาส่องๆดู ก็เห็นสัญลักษณ์*บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของ .....หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ.....อ้าว....ของอาจารย์เรานี่เอง ถึงว่าทำไมถึงได้ขลังนักหนา ก็เลยคืนรักยมให้เขาไปพร้อมกับบอกเล่าว่าเป็นของหลวงปู่หงษ์ อาจารย์ของพี่เองไม่ต้องกลัวไม่ให้โทษ เอากลับไปบูชาให้ดี ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๊ยวจะมาเอาไปบูชาเอง 
หลังจากวันนั้นก็ไม่เห็นน้องสาวผม โทรมาเล่าเรื่องราวสยองขวัญสั่นประสาทอะไรอีก 


ป.ล. ลักษณะเหมือนอย่างในรูปนี้แต่ผมไม่ทราบชื่อรุ่น และไม่ทราบว่าใครสร้างออกที่ไหน จึงไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ให้ชัดเจน

*สัญลักษณ์ที่บอกว่าเป็นของหลวงปู่ ผมจำไม่ได้ว่าเป็นอะไรเพราะเรื่องมันนานมากแล้ว น่าจะเป็น...นะเมติ....หรือไม่ก็....ชื่อหลวงปู่....ต้องขออภัยที่จำไม่ได้ข้อมูลเลยไม่แน่นนัก

http://www.kumanthongsiam.com/webboards/212214/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%86%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2.html


ข้อมูลเรื่องรักยมจากเว็ป อิทธิ-ปาฏิหารย์ ต้องขออนุญาติด้วยครับ
 
http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A1.html



วันพฤหัสบดีที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า 13


....การจุดธูป 5 ดอก เทียน 2 เล่ม....

     หลวงปู่ท่านเคยบอกไว้ว่า ถ้ามีเรื่องอะไรต้องการจะบอกกล่าวครูบาอาจารย์ ให้จุดธูป 5 ดอก เทียน เล่ม เพื่ออฐิษฐานบอกกล่าวครูบาอาจารย์ สำหรับผมน้อยครั้งมาก ๆ ที่จะขอให้หลวงปู่ท่านทำอะไรให้ หรือแม้แต่จุดธูปเทียนร้องขอนู่นขอนี่ ถ้ามันไม่ใช่เรื่องสำคัญ หรือจำเป็นอะไรมากจริงๆ 

    เพราะคิดว่าไม่อยากรบกวนอะไรครูบาอาจารย์ท่าน เท่าที่ต้องคอยปัดเป่าความทุกข์ให้ลูกศิษย์คนอื่น ๆ ก็หนักพอแล้ว สำหรับผมให้เป็นไปตามสมควรเถอะครับ ด้วยความถี่ในการร้องขอต่ำนี่กระมัง ครั้งนึงครูบาอาจารย์ท่านเลยทำให้ดู ว่าท่านรับรู้ และสอดส่องดูแลเรา (ทุก ๆ คน) อยู่เสมอ


     เมื่อปลายปี 2550 ปีนั้นผมอยู่เชียงใหม่ หน้าที่การงาน ชีวิตส่วนตัว ทุกอย่างก็ โอเค จนกระทั่งวันนึง ได้รับโทรศัพท์สายหนึง เป็นสายของเพื่อนซึงเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของหลวงปู่ท่านคนนึง ชื่อ ป๋อง (หลาย ๆ ท่านคงรู้จัก) ป๋องโทรมาบอกว่า หลวงปู่ท่านถามหา และหลวงปู่ท่านบอกว่าปีนี้ ท่านจะอยู่เป็นปีสุดท้าย (ตอนนั้นท่านป่วยหนักมาก อยู่ร.พ.บำรุงราษฏร์)

    เมื่อทราบเนื้อความตามสานส์ ผมก็ร้อนใจมากมาย อยู่บ่าได้แล้วเวียงเจียงใหม่ ก็เตรียมตัวอพยพมา ก.ท.ม.ทันที ลาก่อน กาดวโรรส ลาก่อน สายน้ำปิง ลาก่อน ดอยสุเทพ ลาก่อน ช่วงเวลาชีวิตที่แสนจะงดงาม แม้บางครั้งจะเศร้าไปบ้าง ลาก่อน...ฯลฯ


     ระหว่างช่วงเวลา 1 เดือนที่เตรียมตัวจะมา ก.ท.ม. วันนึงด้วยความที่ครุ่นคิดถึงเป็นห่วงหลวงปู่ท่านอยู่ทุกวันทุกคืน ในคืนหนึ่งหลังจากเลิกงานผมก็คว้าเอา ธูป 5 ดอก และเทียนเล่มจิ๋วอีก 2 เล่ม ลงจากที่พักเดินตรงไปลานดินโล่ง ๆ ที่ใช้เป็นที่จอดรถซึงอยู่ฝั่งตรงข้ามที่พัก ไปถึงก็นั่งลงจุดธูปเทียนขึ้นมาตามแบบฉบับ แล้วท่อง " นะเมติ" 12 จบอธิษฐานบอกกล่าว "ขอครูบาอาจารย์" เป็นครั้งแรกในรอบหลายปี 

   ขอให้หลวงปู่ท่านหายในเร็ววัน และมีอายุยืนยาวต่อไปอีก ขอครูบาอาจารย์ประสิทธิ์พรให้คำขอของลูกสำเร็จผลด้วยเทอญ เสร็จแล้วผมก็ยืนขึ้นหันหลังเพื่อจะกลับเข้าที่พัก ในอึดใจนั้นฝนก็ได้ตกลงมาเป็นละอองบาง ๆ (เดือนธันวาฯเนี่ยนะ) ใจผมตอนนั้นคิดว่า ธูป เทียน คงจะต้องดับแน่ ๆ ลงไป ก.ท.ม. คราวนี้คงต้องเสียน้ำตาแน่นอน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ แสงเทียน

   จึงไม่หันหลังกลับไปดูอีก ก็เดินกลับเข้าที่พัก นอนฟังเสียงฝนที่ตกเบาๆ ดังเปาะแปะๆ ในใจก็ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่าง ๆ มากมาย อยู่นานจนเผลอหลับไป พอเช้าตื่นขึ้นมาก็เตรียมตัวไปทำงาน พอขึ้นควบมอเตอร์ไซค์ได้ก็ค่อย ๆ ขับออกไปตามทาง ด้วยในใจยังประหวัดนึกถึง ธูปกับเทียนที่จุดไว้เมื่อคืนนี้ ก็เลยอดใจไม่ได้ต้องแวะไปดูเสียหน่อย 

   ไปวนหาสักพักก็หาไม่เจอ เลยจอดรถลงมาค่อย ๆ เดินดู ก็เจอก้านธูปกับขี้เทียน ที่เหลือเป็นร่องรอยว่ามอดไหม้หมดไปตั้งแต่เมื่อคืนวาน ก็ทำให้แปลกใจ ฝนที่ตกถึงจะไม่แรงมาก แต่ก็พอที่จะดับธูป ดับเทียนเล่มจิ๋วที่ผมใช้จุดนี่ได้แน่นอน แต่นี่ธูปเทียนกลับไม่ดับ ยังติดไฟมอดไหม้จนเทียนหมดเล่มธูปหมดดอก ให้ได้เห็นอยู่กับสองตา

    เลยพอจะใจชื้นมีความหวังขึ้นมาบ้างว่า หลวงปู่ท่านจะต้องอยู่กับเราต่อไปอีกนานตามที่ผมวิงวอนขอครูบาอาจารย์ แล้วเมื่อเวลาผ่านไปจนผมได้มา ก.ท.ม. ก็ได้อยู่ร่วมเฝ้าไข้หลวงปู่ท่านจนท่านหาย และยังอยู่เฝ้าจนส่งท่านขึ้นรถกลับสุรินทร์



    ซึ่งต่อมาเมื่อผมไปกราบหลวงปู่ท่านที่สุรินทร์ ก็เล่าเรื่องที่จุดธูปเทียนกลางฝนแล้วไม่ดับ ให้หลวงปู่ท่านฟัง ท่านก็หัวเราะชอบใจ แล้วบอกว่า 

....คนจะตายธูปเทียนก็ต้องดับ คนจะไม่ตายจุดธูปเทียนกลางฝนก็ไม่ดับ แปลก ม๊าก มาก..

นี่แหละครับครูบาอาจารย์อยู่กับเราเสมอ ใครเดือดเนื้อร้อนใจมีทุกข์สุขอะไร ท่านรับรู้และอยู่เคียงข้างกับเราเสมอครับ 

    อีกเรื่องที่อยากเล่าไว้กันลืม ผมเคยถามหลวงปู่ท่านว่า

....หลวงปู่ครับหลวงปู่จะกลับมาเกิดอีกหรือเปล่าครับ...

หลวงปู่ท่านตอบว่า

....หลวงปู่จะกลับมาเกิดอีก ลูกศิษย์หลวงปู่เยอะชาตินี้โปรดได้ไม่หมด อีก 500 ปี หลวงปู่จะกลับมาเกิดอีก......


ผมจึงกราบเรียนท่านด้วยความเคารพ อย่างที่สุดเทิดทูนไว้เหนือเศียรเกล้าว่า

.....ถ้าหลวงปู่ลงมาเกิดอีกเมื่อไหร่ ผมขอตามมาเกิดด้วยนะครับ....

หลวงปู่ท่านก็ว่า


....อืม.....


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ปีบ

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า 12

     
    คนเราบางทีการมีเงินทอง ทรัพย์สมบัติมากมายก็ไม่แน่ ว่าจะทำให้เรามีความสุขได้ บางคนบางครอบครัวพออยู่พอกิน หาเช้ากินค่ำแต่กลับมีความสุข เพราะครอบครัวเปี่ยมล้นไปด้วยความรัก ความเข้าใจกันของคนในครอบครัว 

    ยกตัวอย่างครอบครัวของ คุณอาของผมกับลูกสาวของท่าน ได้มีปัญหาทะเลาะกันอย่างรุนแรง น้องสาวผมคนนี้เลยหนีออกจากบ้านไปตั้งแต่ต้นเดือนมกราคม 2553 หลายเดือนผ่านไปก็ยังไม่ยอมกลับ ไม่ติดต่อมาหา คุณอาผมก็มีอายุแล้ว ได้เกิดความทุกข์ใจเหลือประมาณ ทุกครั้งที่โทรมาหาผมจะได้ยินเสียงท่านร้องไห้ทุกครั้ง 

    
    ไปหาพระมาก็หลายที่ไปถึงวัดดังทาง จ.ตราด ก็เงียบ ไปหาพระที่ได้ชื่อว่าเป็นผู้ทรงญานหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร(หลวงพ่อยะ วัดท่าข้าม) ซึ่งคุณอาของผมเคารพนับถือและคุ้นเคยมากว่า 20 ปี ก็เงียบอีก ยังไม่กลับ ได้แต่เลข 2 ตัวตรง...ไม่ต้องกลับ...มาแทน

    จนผมคิดว่าเราคงต้องทำอะไร เท่าที่เราพอจะทำได้บ้าง จึงตัดสินใจไปกราบขอบารมีครูบาอาจารย์ ไปกราบขอพรให้น้องสาวกลับมาในเร็ววัน ก็ไปวัน อังคารที่ 20 เม.ย. ไปค้างกับหลวงปู่ท่านคืนนึง และในคืนนั้นเอง ผมก็ได้ไปจุดธูปบอกกล่าวครูบาอาจารย์ทุก ๆพระองค์ ที่ตรงรูปหล่อพระแม่ธรณี ขอให้ครูบาอาจารย์โปรดช่วยไปตามน้องสาวคนนี้กลับมาให้ได้ภายใน สามวัน เจ็ดวัน ไม่ว่าจะไปอยู่ที่ไหน ก็ขอให้ครูบาอาจารย์โปรดไป ดลบันดาลให้จิตใจรุ่มร้อนเหมือนไฟเผา ให้ต้องรีบกลับมาหาแม่ผู้ชรา ให้ทนอยู่ไม่ได้ด้วยเทอญ


   และด้วยความเชื่อมั่นเพราะเคยประจักษ์กับตัวเองหลายครั้ง เรื่องการจุดธูป 5ดอก เทียน 2 เล่ม บอกกล่าวครูบาอาจารย์นี่ ผมเชื่อมั่นอย่างเต็มเปี่ยมว่าน้องสาวจะต้องกลับมาคราวนี้แน่นอน พอมาวันพุธ ที่ 21 ผมกลับมา ก.ท.ม. พร้อมกับเหรียญหลวงปู่สรวง และตะกรุดกันโรคระบาด มาถึงก็จัด ขันธ์ 5 ขึ้นมารับหลวงปู่สรวงและครูบาอาจารย์ พร้อมทั้งจุดธูป 5 ดอก เทียน 2 เล่ม ตามเเบบฉบับ

   ซึ่งธูปนั้นปกติผมก็จุดในกระถางธูป แต่เทียนผมจะจุดบนพื้นโต๊ะหมู่บูชา โดยมีถ้วยตะไลทำเป็นเชียงเทียน และใช้เทียนเล่มเล็กที่สุดตลอด มันหมดเร็วดี จะว่ามักง่ายก็ได้ แต่ก็ทำอย่างนี้มานาน เป็นสิบปีก็ปกติดีไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

   แต่ครั้งนี้กลับมีอะไรเกิดขึ้น เพราะจังหวะนึงที่ผมสวดมนต์และบอกกล่าวเสร็จแล้ว เหลือก็แต่รอให้ธูปเทียนหมด ก็ลงมาเอาของที่ข้างล่างซึ่งใช้เวลาก็ประมาณอึดใจนึงไม่เกิน 3 นาที แต่พอขึ้นไปที่ข้างบนห้องผมแทบช๊อค

   ไฟไหม้ครับไฟไหม้โต๊ะหมู่บูชาผม ลุกโชติช่วงชัชวาลย์แบบไม่ทีท่าว่าจะดับลง ในห้องตอนนั้นก็มีแต่แป๊ปซี่แม๊กซ์ ของโปรด กับน้ำมนต์ของ หลวงปู่ฯท่าน อีก2 ขวด เลยตัดสินใจเอาน้ำมนต์ที่ใส่ขวดโค๊กลิตรเต็ม ๆขวด มาใช้ดับเพลิงซะ 1 ขวด....จัดไป 


    ใจขณะนั้นก็เกิดความรู้ความคิดขึ้นมาโดยอัตโนมัติว่า หลวงปู่สรวง เทพดาบส ท่านอยู่ที่ไหนจะก่อกองไฟไว้เป็นสัญลักษ์ทุกที่ไป 

......ตอนนั้นผมยังไม่แน่ใจเรื่องเกี่ยวกับไฟนี้ จึงมาลองค้นประวัติท่านดูก็เป็นว่า ท่านก่อไฟไว้ทุกที่ ที่ท่านจำพรรษาจริงๆ.....

    หลังจากดับไฟและจัดการเก็บทุกอย่างเรียบร้อย ใจผมยิ่งเชื่อมั่นว่าน้องสาวต้องกลับมา จะได้อยู่เย็นเป็นสุขกันซะที เพราะหลวงปู่สรวง ท่านก็สะเดาะเคราะห์ให้แล้ว หลวงปู่ท่านและครูบาอาจารย์ก็เหมือน มาดลใจให้เอาน้ำมนต์ประพรมบ้าน เพราะตั้งแต่ได้น้ำมนต์ 2 ขวดนี้มาร่วม 10 กว่าปี ไม่เคยเอามาประพรมอะไรเสียที

    จึงลงมาข้างล่างมานั่งคุยกับคุณอา ก็บอกเล่าเรื่องราวที่ไปกราบหลวงปู่ฯท่าน และไปขอพรครูบาอาจารย์มาให้คุณอาทราบ ซึ่งคุณอาท่านก็ขอบอกขอบใจทั้งที่ตายังคลอไปด้วยน้ำตา จนเวลาผ่านล่วงเลยไป 3 วัน คือวัน เสาร์ ที่ 24 เม.ย. คุณอาผมโทรมาหาแต่เช้า

    บอกน้องสาวผมโทรกลับมาหาแล้ว บอกคิดถึงแม่อยากกลับบ้าน น้ำเสียงคุณอาผมฟังดูตื่นเต้นและดีใจมาก และผมก็ได้ยินเสียงร้องไห้ของท่านอีกครั้ง แต่ครั้งนี้ท่านไม่ได้ร้องด้วยความทุกข์ใจเหมือประมาณ เหมือนที่ได้ยินมาเกือบจะทุก ๆ วันในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา แต่เป็นการร้องไห้ด้วยความดีใจและความสุขใจอย่างเหลือล้นแทน

      และในวันอาทิย์ ที่ 25 นั้นเอง พ่อ แม่ ลูก ก็ได้เจอหน้ากันอีกครั้งหลังจาก ไม่ได้เจอหน้าหรือได้ยินเสียงกันมาหลายเดือน กราบแทบเท้าขอบพระคุณครูบาอาจารย์ครับ ไม่เคยผิดหวังเลยสักครั้งครับ ภูมิใจเสมอที่ได้เป็นลูกศิษย์ หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ 


     หลังจากนั้นคุณอาของผม ท่านยังพูดเสมอ ๆ ว่าหลวงปู่ฯท่าน ช่วยเรียกลูกสาวกลับมาให้

ป.ล. น้ำมนต์ของหลวงปู่ท่านนั้น เป็นน้ำมนต์ที่รวบรวมจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ เอามาผสมเพิ่มเติมเสมอ ท่านยังเคยสั่งผมว่าถ้าไปที่ไหน ที่มีน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์มีคนไปเอาเยอะๆ ให้เอามาถวายท่าน ท่านจะได้เอาผสมกับน้ำมนต์ในตุ่มที่ท่านทำไว้ ให้มีอานุภาพเพิ่มพูน จำได้ว่าผมเคยเอาน้ำมนต์จาก วัดระฆัง วัดอินทรวิหาร บางขุนพรหม และ วัดพระแก้ว ไปถวายท่าน หลวงปู่ท่านทำอะไรก็ทำด้วยความประณีตละเอียดอ่อน ทำให้ถูกต้องตามหลักวิชาของครูบาอาจารย์ ไม่ลัดขั้นตอนสุกเอาเผากิน

วันเสาร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า 11

   
      ได้ยินเสียงจั๊กจั่นร้องมาตั้งแต่ราวต้นเดือนเมษา หน้าร้อนปีนี้อากาศร้อนมากมายยิ่งกว่าปีก่อนๆ ขนาดตอนเช้ามืดอากาศก็ยังร้อนจัด  แต่ก็แปลกที่ทำให้ชวนนึกถึงตอนเด็กๆ ที่เฝ้ารอให้ถึงหน้าร้อนเร็วๆ พอปิดเทอมจะได้กลับไปเที่ยวบ้าน ที่ต่างจังหวัดจะได้ไปเที่ยวภูเขา ไปเข้าถ้ำ ไปเล่นน้ำตก ไปเที่ยวถ้ำปลา หรือไม่ก็ไปเล่นน้ำที่อ่างเก็บน้ำ ทำกิจกรรมแอดเวนเจอร์ คือการเดินเล่นไปตามคันนา หรือไม่ก็เดินทวนลำธารขึ้นไปต้นน้ำ ตอนแดดเปรี้ยงๆ อย่างไม่ยี่หระต่ออากาศที่ร้อนหูดับตับไหม้แม้สักนิด ช่าง ทน ถึก บึกบึน เสียนี่กระไร ^_=


      เดินเที่ยวไปเรื่อยๆจนไปต่อไม่ไหวก็กลับ ขากลับเจอผลไม้บ้านใครปลูกไว้ก็สอยเอามากินตลอดทาง ครั้งนึงโชคดีเจอต้นมะขวิด ผมเอาหนังสติ๊กยิงจนลูกมะขวิดหล่น เก็บกลับบ้านเอาแช่ตู้เย็นไว้ แล้วเอามาโรยน้ำตาลทรายกินมันช่างอร่อยชื่นใจ  ไปเที่ยวทุกวันไม่มีวันหยุด ไม่เกรงกลัวต่อความร้อนแม้สักน้อยหนึ่ง และหน้าร้อนยังมีมีจั๊กจั่นทอดกรุบกรอบ รสนุ่มละมุลลิ้นที่จะมีให้ได้กินปีละหนอีกด้วย 


      ที่จัดว่าเด็ดก็...มะปรางหวาน...ต้นเดียวในจังหวัด ที่ตาของผมเอาขึ้นมาจากทางใต้ มาปลูกไว้ข้างยุ้งฉาง รสชาติหวานสนิท เนื้อหนา ลูกใหญ่ แถมออกผลดกเต็มต้น ทุกปีที่ได้กลับบ้านต้องปีนขึ้นไปเก็บกิน พร้อมทั้งเอาไปขายได้เป็นเงินค่าขนม และที่สนุกที่สุดก็คือได้พบกับพี่ๆน้องๆคนอื่นที่กลับมาบ้านตอนปิดเทอมฤดูร้อน จะได้เที่ยวเล่นด้วยกันอย่างสนุกสนาน พร้อมหน้าพร้อมตากัน...แค่ปีละ 1 ครั้ง


  ..แต่...พออายุมากขึ้นๆ กลับเกลียดหน้าร้อนขึ้นมาจับใจ อากาศร้อนทำงานไม่สนุก นอนไม่ค่อยหลับ เหงื่อออกเยอะแยะจนน่ารำคาญ คอยนับวันว่าเมื่อไหร่จะพ้นหน้าร้อนเสียที ผิดจากเมื่อตอนเด็กๆ ที่เฝ้ารอให้ถึงหน้าร้อนเร็วๆ และอยากให้เวลามันค่อยๆ เดินไปช้าๆ ไม่อยากให้วันเวลาที่แสนสนุกนี้ผ่านไปเร็วอย่างที่มันเป็น แต่ใครเล่าจะบังคับบัญชากาลเวลา ให้เป็นดังใจได้ เรื่องราวมากมายทุกๆอย่าง ผ่านเข้ามา และ ผ่านเลยไป พร้อมกับ....กระแสของกาลเวลา


      ในหน้าร้อนปีหนึ่งผมได้ไปกราบหลวงปู่ท่าน และได้อาศัยพักอยู่กับท่านหลายวันพอประมาณ เวลาว่างก็พักผ่อน เวลาไม่ว่างก็นอน มีวันนึงมีเวลาว่างกำลังพักผ่อน อยู่ที่ศาลาหน้ากุฏิหลวงปู่ ก็มีรถเก๋งกลางเก่ากลางใหม่เข้ามาจอดเทียบ ชายผู้เป็นเจ้าของรถเดินลงมาและตรงเข้าไปที่ตู้วัตถุมงคลเพื่อจะเช่าพระ ผมก็เข้าไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ช่วยหยิบนู่นจับนี่ตามประสาผู้มีอัธยาศัยดี 

    คุยกันท่าไหนจำไม่ได้แต่จำได้ว่าคุยกับพี่แกถูกคอมาก พี่แกก็ชวนไปที่รถของแกผมก็ตามไปด้วยใจที่อยากรู้ว่าแกจะให้ดูอะไร พอไปถึงรถแกก็บอกว่า พี่แกเป็นตำรวจมากราบหลวงปู่ ท่านบ่อย ๆ รถคันนี้ท่านก็เจิมและตั้งชื่อให้ แถมยังมีสติ๊กเกอร์รูปหลวงปู่ท่านติดอยู่ที่กระจกหน้ารถ พี่ตำรวจก็เล่าต่อไปว่าเมื่อไม่นานมานี้พี่ตำรวจแกขับรถคันนี้ไปจับไม้เถื่อน ขากลับแกโดนลอบยิงด้วยปืน พี่ตำรวจยืนยันว่าว่าอาก้า...ไม่ใช่หนังสะติ๊กอย่างที่ผมใช้ตอบเด็กๆแน่นอน



     มือปืนก็ยิงมาเป็นชุดอย่างกะตั้งใจ จะฉายรอบเดียวไม่ต้องฉายซ้ำ แต่กระสุนส่วนใหญ่ก็ไม่ได้ถูกตัวรถ จะมีถูกก็ที่กระจกตรงด้านหน้าคนขับที่เดียวนัดเดียว แกก็พาผมได้ดูที่กระจกและชี้ให้ดู พี่ตำรวจบอกว่ารอยนี้แหละที่โดนลูกปืน แต่กระจกไม่แตกลูกปืนมันเลยแฉลบออกเป็นรอยขีดแนวยาว ผมก็ โอ้ว์........มายก๊อด....หลวงปู่ท่านขลังขนาดรถยังเสกให้เหนียวได้ ไม่น่าเชื่อแต่ก็เป็นไปแล้ว แปลกม๊ากมาก แต่....ถ้ากระสุนนัดนี้เกิดยิงเข้าทะลุกระจก..พี่ตำรวจกับผมก็คงไม่มีโอกาศได้มาคุยกันอย่างนี้

    ครับ...มีปัญหาที่หลาย ๆ คนเคยถามกับผมและกับลูกศิษย์คนอื่น ๆของหลวงปู่ฯ ท่านเหมือน ๆ กันคือเรื่องหลวงปู่ฯ ท่านห้ามดื่มเหล้า ถ้าดื่มแล้วจะเสื่อม?

....จริงครับหลวงปู่ฯ ท่านห้ามดื่มเหล้า และให้รักษาศีลด้วยนะครับ เพราะท่านรักลูกศิษย์ ต้องการให้ลูกศิษย์เป็นคนดีมีศีล และมีธรรม ไม่ไปก่อกรรมให้กับใครแม้แต่กับตัวเอง ที่ว่าดื่มเหล้าแล้วเสื่อม ไม่ใช่ของเสื่อมนะครับ แต่เป็นตัวคนที่เสื่อม เราดื่มเหล้าแล้วเสื่อมอย่างไรอันนี้คงไม่ต้องอธิบายให้มากความ

    อีกเรื่องที่น่าสนใจคือวัตถุมงคลรุ่น ผ้าป่าสามัคคีกับหลวงปู่หงษ์ วันที่ 11 เมษายน 2553 ทราบว่าวัตถุมงคลชุดนี้เสกในตอนที่หลวงปู่ฯท่านเข้ากรรมฐาน รักษาโรค 19 วัน 19 คืน ด้วย ผมเองชอบใจเหรียญ ที่ด้านนึงเป็นหลวงปู่ทวดฯ กับหลวงปู่ฯ อีกด้านนึงเป็น หลวงปู่สรวง เทพดาบส

    ผมเองเมื่อก่อนไม่เคยเชื่อเรื่องหลวงปู่สรวง ว่าท่านจะมีอายุยืนยาว นับร้อย ๆ ปีอย่างที่เขาลือกัน ผมคิดว่าคงเป็นแผนหากินกับพระตามเคย จนได้ยินข่าวแว่วๆจากบรรดาลูกศิษย์หลวงปู่ ท่านด้วยกัน ว่าหลวงปู่ท่านเองก็เคยกล่าวว่า หลวงปู่สรวงมีอายุยืนยาวมาหลายชั่วอายุคนจริง ๆ ไปครั้งนี้เลยคิดอยากจะถามเรื่องหลวงปู่สรวงกับท่าน 

    ทั้ง ๆ ที่น่าจะถามตั้งนานแล้ว แต่ก่อนอื่นตั้งไปเลียบ ๆ เคียง ๆ ถามลูกศิษย์ที่อยู่ใกล้ชิดองค์ท่านก่อนจะได้ไม่ผิดพลาด ถามหลวงพี่หวิน ท่านก็บอกว่า 

"หลวงปู่ท่านว่าท่านเกิดมาก็เห็น หลวงปู่สรวง เป็นอย่างนี้แล้ว จนหลวงปู่สรวงมรณะภาพก็ยังเป็นเหมือนเดิม" 

    ผมก็มาคิดบวกลบดู หลวงปู่สรวง อย่างน้อยท่านต้องอายุ 150 ปี โอเค ถามท่านพระป๋องต่อ

 "ป๋อง เคยไปกราบหลวงปู่สรวงกับหลวงปู่ไม่ใช่เหรอ แล้วเป็นไง" 

...ครับพี่ครับ ป๋องเคยไปกราบหลวงปู่สรวงกับหลวงปู่ หลวงปู่ท่านคุกเข่าพนมมือคุยกับ หลวงปู่สรวง เลยนะพี่...

"หา...หลวงปู่นี่นะคุกเข่าคุยกับหลวงปู่สรวง" 

...ครับพี่ครับ..

อืม...ถ้าหลวงปู่ท่านคุกเข่ากราบ และพนมมือคุยด้วยแบบนี้ ต้องไม่ใช่ธรรมดาแน่ๆ


      โอเค ข้อมูลแน่นอนละต่อไปเข้าไปถามกับองค์ท่านเองเลย เช้าวันพุธที่ 21 เม.ย. เวลา 05.15 น. โดยประมาณ เป็นโอกาศดีเพราะไม่มีใครเลย สังเกตุเห็นว่าหลวงปู่ท่านก็อารมณ์ดี ดังนั้นถ้าอยากรู้อะไรก็ควรถามตอนนี้

"เอ่อ หลวงปู่ครับ เขาว่าหลวงปู่สรวงนี่อายุเป็นร้อยๆ ปีจริงหรือครับ"

หลวงปู่ท่านหันมามองหน้าทันที ผมรู้แล้วเราคงถามเรื่องที่มันเกินตัว พ้นหัว ไม่ควรถามเข้าแล้ว แต่ท่านก็ยังเมตตาตอบว่า

"ไม่ชัดเจนหรอก "

แล้วท่านก็หันหน้ากลับไปดูข่าวทีวีเหมือนเดิม แต่ก็ชั่วอึดใจนึงท่านก็หันกลับมา แล้วกล่าวว่า

"ตอนที่เขาสร้างวัดพระแก้วนะ หลวงปู่สรวง ไปช่วยเขาขนอิฐขนทรายสร้างวัดด้วย กี่ปี่มาแล้วหาตอนเขาสร้างวัดพระแก้วน่ะ"

"200 กว่าปีครับ"

"เอ้อ..นั่นแหละตอนสร้างวัดพระแก้วน่ะหลวงปู่สรวงก็ไปช่วยเขาแบกทรายสร้างวัดด้วย"

    
       นี่ถ้าไม่ได้ยินหลวงปู่ฯท่าน ยืนยันอย่างนี้นะ ใครอมโบสถ์มาพูดก็ไม่เชื่อ เลยได้โอกาศเอาเหรียญผ้าป่าของโป๊ย ที่มีรูป หลวงปู่สรวง หลวงปู่ทวดฯ หลวงปู่ฯ มาให้หลวงปู่ท่าน ประสิทธิ์ให้ พอท่านเสกเสร็จ ท่านก็บอก 

....หลวงปู่สรวง นี่ถ้านับถือแล้วดีม๊ากมาก เอารูปท่านไปแล้วต้องถือเน้อ อย่าด่า อย่าว่า อย่าพูดคำหยาบ นับถือแล้วดีม๊ากมาก....


    นี่คือหลวงปู่ท่านยืนยัน คือ 

1 เรื่องหลวงปู่สรวงท่านอยู่เหนือวิสัยของคนธรรมดา 
2 เหรียญที่โป๊ยสร้างชุดนี้ หลวงปู่ฯ ท่าน ถึงกับกล่าว ว่า 

...นี่ถ้านับถือแล้วดีม๊ากมาก เอารูปท่านไปแล้วด้องถือเน้อ...

    คือยืนยันว่านี่คือรูปของหลวงปู่สรวง เป็นเครื่องระลึกแทนองค์ หลวงปู่สรวงท่านได้จริง 
ส่วนตัวผม ผมรู้สึกรักเหรียญรุ่นนี้จริงๆ ตั้งแต่ผมบูชามาก็เอาไว้ใกล้ตัวตลอด รู้สึกได้ว่าเกิดความอบอุ่นใจอย่างน่าประหลาด



วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า 10






เกี่ยวกับการ "เห็น" ของหลวงปู่

      เมื่อครั้งที่เทวสถานโบสถ์พราหมณ์ได้สร้างวัตถุมงคลที่สร้างจากกระเบื้อง
 หลังคาโบสถ์ของโบสถ์พราหมณ์ ซึ่งมีโบสถ์พระอิศวร โบสถ์พระนารายณ์ โบสถ์พระพิฆเณศวร มาบดผสมทำมวลสารเพื่อสร้างเป็น รูปเทพยดาเจ้าผู้ทรงมเหศักดิ์ทั้ง 3 พระองค์ คือพระอิศวร พระนารายณ์ พระพิฆเณศวร 





    และได้จัดพิธีมหาเทวาภิเษกอย่างยิ่งใหญ่
 ครบถ้วนทั้งพิธีพุทธและพิธีพราหมณ์ และยังได้อัญเชิญวัตถุมงคลที่จัดสร้าง ลงสรงอยู่ในน้ำพระพุทธมนต์-เทพมนต์จากพิธีสำคัญๆตั้งแต่ครั้งสร้างกรุง  เป็นพิธีที่ศักดิ์สิทธิ์
เหลือจะกล่าว ทั้งยังถูกต้องตามตำรับพราหมณ์อย่างที่สุดเพราะท่านทั้งหลายที่เป็นเจ้าพิธี ล้วนแต่เป็นพราหมณ์หลวง เป็นผู้มียศศักดิ์ทางราชการทั้งสิ้นและยังสืบสายเลือดมาแต่ตระกูลพราหมณ์ผู้มีศักดิ์สูงทุกท่าน

http://www.devasthan.org/index.html




     หลวงปู่ท่านก็ได้รับนิมนต์เข้าร่วมพิธีด้วย จำได้ว่าในชุดที่หลวงปู่ฯ ท่านเสกนั้นมีหลวงปู่เมตตาธรรมคุณ วัดโพธิ์เลื่อนท่านนั่งด้วยแต่ท่านเสกไม่นานประมาณ 30นาทีก็กลับ แต่หลวงปู่ท่าน เสกรวดจนจบพิธี พอเสกกันไปสักระยะ (2-3ช.ม.) ใกล้จะเสร็จพิธี ก็เกิดเสียงเหมือนอะไรถล่มลงมาจากทางโบสถ์พระพิฆเณศ ก็ทราบว่าเป็นกองกระเบื้องหลังคาที่ จะเอาไว้มุงโบสถ์ถล่มลงมา พิธีก็ดำเนินไปจนจบ




    เมื่อหลวงปู่ ฯ ท่านกลับไปพักที่บ้านท่านพระป๋องๆก็โทรมาเล่าความว่า หลวงปู่ท่านบอกว่า


....พิธีนี่พระอิศวรสูง88 ศอกเสด็จมาในพิธี มายืนคร่อมโบสถ์(เสกที่โบสถ์พระอิศวร) ในโบสถ์มีเทวดามาชุมมุมประสาทพรกันอยู่แน่นไปหมด และข้างนอกโบสถ์ ก็มีครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ มาล้อมโบสถ์พระอิศวรอยู่แน่นไปหมด มองไปทางไหนก็เห็นแต่ครูบาอาจารย์ แต่ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ท่านไม่เข้ามาในโบสถ์เพราะผู้ประกาศโองการ (น่าจะพระราชครูวามเทพมุนี ) ไม่ได้ประกาศกล่าวอัญเชิญ พระสงฆ์ เชิญแต่เทวดา แต่ที่พระสงฆ์มาเพราะพระคณาจารย์ที่รับนิมนต์มาเสกได้อธิฐานจิตอัญเชิญมา ครูบาอาจารย์ที่เป็นพระสงฆ์ท่านจึงทำให้ดูว่าท่านมาจริง ด้วยการทำให้กระเบื้องหลังคาโบสถ์ทางโน้นถล่มลงมา......



     เราได้ฟังเรื่องแล้วก็รู้สึกทึ่ง เรื่องอะไรที่ได้รับทราบเกี่ยวกับหลวงปู่ท่านล้วนแล้วแต่มหัศจรรย์ก็จริงแต่ลองนึกภาพว่า ในพิธีหลวงปู่ท่านได้เห็นอะไรบ้างก็ไม่รู้จะบรรยายยังไงมันสุดที่จะบรรยายจริง และในวันต่อ ๆ มาผมกับท่านพระป๋องป๋องได้ไปที่โบสถ์พราหมณ์กันอีกครั้ง ก็ได้พบกับท่านพระราชครูฯก็เรียนความที่หลวงปู่ฯท่านเล่าให้ฟัง ให้ท่านพระราชครูฯท่านฟังต่อ ท่านก็ยอมรับว่า ท่านไม่ได้อัญเชิญพระสงฆ์ ท่านเชิญแต่เทวดาจริง ๆ เราก็นะหลวงปู่ของเราถ้าเรื่องนี้ไม่พลาดดอก 






   ครั้งหลังมาพอทางโบสถ์พราหมณ์จัดสร้างพระตรีมูรติทองคำถวายในหลวง ก็ยังได้นิมนต์หลวงปู่ฯ ท่านมาอีก และพอหลวงปู่ไปถึง ท่านพระราชครูฯ ก็เข้ามาเรียนถามหลวงปู่ท่านทันทีว่าพิธีที่จัดนี้ถูกต้องหรือยังคราวที่แล้วพลาดไป หลวงปู่ท่านก็ดูให้แล้วบอกว่า ..ถูกต้องแล้ว 


http://www.navaraht.com/forum/forum15/topic231.html  

 เรื่องนี้คิดอยู่นานว่าจะเล่าดีหรือเพราะต้องอ้างถึงท่านผู้มีกิตติคุณสูง และยิ่งด้วยยศศักดิ์แต่คิดแล้วก็เล่าเสียก็ดี แต่ถ้าใครอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมก็ถามท่านพระป๋อง หรือใครใจกล้า ก็ไปเรียนถามท่านพระราชครูวามเทพมุนีดูได้ครับ แต่พึงรำลึกไว้เสมอว่าท่านเป็นผู้มียศและศักดิ์สูงส่งนะครับ





เรื่องเกี่ยวกับการเห็นของหลวงปู่ท่าน...ต่อ


     หลวงปู่ท่าน ๆ เคยเล่าให้ผมฟังว่าท่าน "เห็น" อะไร ๆ ที่คนทั่วไปไม่เห็นมาตั้งแต่เริ่มจำความได้ ท่านว่าสมัยท่านยังเป็นเด็กยังไม่ได้บวชเณร ยามที่ต้องเดินผ่านป่าช้า เวลากลับบ้านคราวใดท่านต้องหันหน้าหนีไปทางอื่น ไม่กล้ามองไปทางป่าช้า ผียืนอยู่ในนั้นเต็มไปหมด หรือตั้งแต่สมัยหลวงปู่ท่านยังเป็นสามเณร หัดนั่งสมาธิภาวนาพอออกจากสมาธิ ก็เห็นขบวนมวลหมู่วิญญาน แห่มาออกันมากมายตั้งแต่ที่ๆท่านนั่งภาวนา ยาวเหยียดไปจนถึงปากทาง อ.ปราสาท พอท่านถามเขาเหล่านั้นว่า

....ที่มาหาต้องการสิ่งใด.....

เขาเหล่านั้นก็ตอบว่า

.....ทำไมภาวนาแล้วไม่แผ่เมตตาจิตอุทิศส่วนกุศล หลังจากภาวนาให้กรวดน้ำแผ่เมตตาไปให้พวกเขาด้วย....

เมื่อท่านตั้งใจอุทิศกุศลด้วยเมตตาจิตไปให้ เขาเหล่านั้นก็พากับโห่ร้องด้วยความยินดีพากันยกขบวนกลับไป


แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นเรื่องต่างๆที่ท่านเล่าให้ผมฟัง ผมไม่ได้ไปเห็นกับท่านด้วย ผมลูกศิษย์หัวดื้อจึงได้แต่ฟังท่านไว้ด้วยความเคารพอย่างที่สุด



     จนกระทั่งวันนั้นก็มาถึง......
...ครั้งนึงที่วัดนก ซ.พาณิชย์ธนฯ ทางวัดได้นิมนต์หลวงปู่ฯ ท่าน มาให้คนทำบุญกับทางวัด หลังจากที่หลวงปู่ท่านไปถึงวัด ทางวัดก็ได้จัดที่พักให้ท่านพักผ่อน ระหว่างนั้นมีโยมคนนึงโทรมาที่วัดบอกว่า อ่านหนังสือเจอว่าทางวัดนิมนต์หลวงปู่ท่านมา เขาบอกว่าเขามีเรื่องให้หลวงปู่ท่านช่วย

     เรื่องคือพ่อของเขาได้ติดคุกแล้วเกิดไปเสียชีวิตในคุก เขาก็ได้ทำพิธีทางศาสนาครบทุกอย่างแล้ว แต่พ่อก็ยังมาเข้าฝันว่ายังออกจากคุกไม่ได้ เขาจึงอยากกราบเรียนปรึกษาหลวงปู่ท่าน ๆ ก็เลยบอกว่า

......ให้เอาดินไปวางตรงที่พ่อของเขาตาย แล้วให้นิมนต์พระไปชักบังสกุลตรงดินนั้น แล้วให้เอาดินมาให้ท่านที่วัดนก.......

    พอเวลาผ่านไปเมื่อถึงเวลาหลวงปู่ ฯ ท่านรับแขก คนก็เข้าแถวกันยาวเหยียด ผมก็นั่งอยู่ข้าง ๆ ท่านคอยรับดอกไม้ที่คนเอามาถวาย อยู่ๆหลวงปู่ท่านก็พูดว่า

......นั่นมาแล้ว พ่อเขามาด้วย หมดเคราะห์แล้ว ......

     ผมก็ยัง..งง..อยู่ชั่วอึดใจหนึ่ง แต่พอมองไปที่แถวคนที่มากราบท่าน ก็เห็นผู้ชายคนนึงถือถุงกระดาษกำลังเข้ามากราบท่าน พอเข้ามาถึงท่าน ก็ล้วงเอาของจากในถุงกระดาษออกมาถวาย ให้ท่านดูแล้วเรียนว่าหลวงปู่ ฯ ท่านว่า เขาเป็นคนที่โทรมาปรึกษาเรื่องที่พ่อเขาตายในคุกแล้วออกมาไม่ได้ ตอนนี้เขาทำตามที่หลวงปู่ท่านแนะนำแล้วครับ หลวงปู่ฯ ท่านจึงบอกเขาว่า
....พ่อเขาออกมาแล้ว ......

ชายผู้มีความทุกข์เรื่องพ่อ ก็ได้อาศัยเมตตาคุณของหลวงปู่ท่านเปลื้องทุกข์ให้ แล้วเขาก็ลากลับไปด้วยใจที่คลายทุกข์


    ส่วนผมพอเข้าใจว่าที่ท่านพูดในตอนแรกหมายถึงอะไร ก็ขนลุก(ขอโทษนะครับ)ตั้งแต่หัวจรดปลายเท้าครับ ไม่ใช่กลัวนะครับแต่ขนมันลุกเองครับ 

    และจากที่อีกหลาย ๆ คนประสบมา เช่น มีที่ดินแปลงนึงถูกคนนำของอาถรรพ์มาฝังไว้ กะว่าจะให้เกิดผลร้ายแก่เจ้าของที่ เขาจึงนิมนต์หลวงปู่ท่านไปแก้ไข เมื่อไปถึง ท่านไม่ต้องนั่งภาวนาบริกรรมอะไร พอท่านลงรถได้ก็ตรงไปชิี้จุดที่ฝังของอาถรรพ์และขุดขึ้นมาแก้ไขได้อย่างง่ายดาย 

      หรือเมื่อปี่ที่น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ก่อนที่น้ำจะท่วมหลายเดือน หลวงปู่ท่านทักเชิงถามพี่ท่านนึงอย่างมีความนัยสำคัญว่า 

......ซื้อเรือไว้หรือยัง ต่อไปต้องใช้เรือแทนรถนะ....

พี่ท่านนั้นเมื่อเจอหลวงปู่ท่านทักถามอย่างนี้ก็งงอยู่พักนึง จนกระทั่งน้ำท่วมใหญ่จึงหายงง

     อีกสักนิด มีพระลูกศิษย์ของหลวงปู่ท่านองค์หนึ่ง ได้เดินทางจากกรุงเทพมากราบหลวงปู่ที่สุสาน ก่อนจะเข้ามาสุสานท่านองค์นั้น ได้เกิดอาพาธคือหิวเต็มกำลังเจ็บท้องเจ็บใส้เกินทน จึงให้โยมที่มาด้วยไปซื้อไส้กรอกที่เซเว่นมาฉัน บรรเทาอาการอาพาธ

     เมื่อไปถึงสุสานท่านองค์นั้นก็เข้าไปกราบคาระวะหลวงปู่ท่าน พอเงยหน้าขึ้นหลวงปู่ท่านก็พูดว่า

......เดี๊ยวนี้อ้วนจัง ไป..ไป..เอากรวยดอกไม้แล้วมาปลงอาบัติ.....

     หลวงพี่ท่านนั้นก็สะดุ้งวาบ นึกในใจว่า

....โดนละ.....

      จากหลายๆเรื่องที่เจอกับตัวเองและศิษย์พี่ๆ น้องๆ ท่านอื่นๆ จึงเชื่อได้ว่าเรื่องการเห็นอะไร ๆ ของหลวงปู่ท่านนี่แน่นอน แม่นยำที่สุดครับ