คลังบทความของบล็อก

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2559

หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ พระอาจารย์ผู้อยู่เหนือเศียรเกล้า 14


     รัก-ยม......สุดขลัง

     รัก-ยม....เครื่องรางชนิดหนึ่งที่ทำเป็นรูปเด็ก 2 คนยืนพนมมืออยู่ในขวดน้ำมันจันทร์ ตามตำนานมีเรื่องเล่าอยู่ว่า   


        สมัยหนึ่ง  ในป่าหิมวันต์  เมืองเมืองหนึ่ง  เมืองนี้เป็นเมืองเงียบสงบ มองไปทางไหนก็มีแต่ป่าทั้งนั้น  ในป่านั้นก็มีพระฤๅษีชีไพรนั่งบำเพ็ญตะบะเต็มไปหมด  ในขบวนเหล่าฤๅษีนั้นก็มีพระพหลฤๅษีอยู่องค์หนึ่งทึ่เป็นใหญ่กว่าฤๅษีทั้งหลาย อยู่มาวันหนึ่งฤๅษีพหลนั้นได้เดินออกจากสถานที่บำเพ็ญตะบะนั้นเพื่อออกแสวงหาผลไม้ในป่ามาฉันท์ขณะที่เดินผ่านสระน้ำในป่านั้น  ก็มีดอกบัวชูช่อยู่ดาษดื่นฤๅษีพหลก็  เหลือบไปเห็นกุมารน้อยคู่หนึ่งนอนในดอกบัวนั้นจึงได้เก็มาเลี้ยงไว้ที่อาศรม  ฤๅษรพหลจึงตั้งชื่อสองกุมารน้อยว่ารัตตะกุมาร  กับ  ยมกะกุมาร ต่อมากุมารน้อยทั้งสองก็ได้
ร่ำเรียนวิชา  กับพระอาจารย์ดาบสองค์นั้นจะมีความสามารถรอบรู้หมดทุกอย่าง  ส่วนฤๅษีพหนลนั้นก็ได้ถ่ายทอดวิชาให้อย่างหมดสิ้นในที่สุด  รัตตะกุมารกับยมกะกุมารก็เจริญเติบโต  จนเป็นหนุ่มใหญ่สมชายชาตรีทุกอย่าง สรุปแล้ว  รัตตะกุมารก็คือ  เจ้ารัก  ส่วนยมกะกุมาร ก็คือ  เจ้ายม

      สำหรับเจ้ารักนั้นเป็นผู้เลอโฉม  รวมทั้งหน้าตาลักษณะท่าทางมองแล้วเหมือนมานพน้อยมีรูปร่างมองแล้วไม่เบื่อตาเป็นที่ประทับใจแก่ผู้พบเห็นทั่วไป  ส่วนยมนั้นเล่าความหล่อเหลาด้อยกว่าเจ้ารักหน่อย  เพราะคนเราเกิดมารูปธรรมนามธรรมเหมือนอย่างกับเจ้ายมถึงแม้จะรูปชั่วตัวดำไปนิด  ถึงกระนั้นฤๅษีพหลก็ยังมีความรัก  ความสงสารยิ่งขึ้น  จึงมอบวิชาต่าง ๆ ให้กับเจ้ายมเป็นพิเศษ
  
      เป็นอันว่า  เรื่องเชี่ยวชาญในเชิงขบวนยุทธจักร  และเวทย์มนต์คาถาต้องยกให้เจ้ายมคนเดียวยุคนั้นวันหนึ่ง  รัตตุมาร  (เจ้ารัก)  กับยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  สองพี่น้องก็คิดอยากจะไปเที่ยวหัวเมืองต่าง ๆ จึงได้กราบลาพระอาจารย์เพื่อออกแสวหาประสบการณ์ต่าง ๆ จึงได้ออกเดินทางจนไปถึงเมืองใหญ่แห่งหนึ่งด้วยความ ปรีชาสามารถต่าง ๆ ของกุมารน้อยทั้งสอง  จึงได้เข้ารับราชการกับพระราชาเมืองนั้น


         อยู่ต่อมาไม่นานพระราชาจึงแต่งตั้งให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  เป็นทหารเอาไปครองแคว้นเมือง  เมืองหนึ่ง  ส่วนยมกะกุมาร  (เจ้ายม)  นั้น  พระราชาแต่งตั้งให้เป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับในด้านหัวเมืองต่าง ๆ ระหว่างที่รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  รับราชการอยู่นั้นเพราะความหล่อเหลามานพน้อย  จึงเป็นที่หมายตาต้องใจของพระธิดาลูกเจ้าเมืองนั้นทั้งสอง
จึงเกิดความรักใคร่กัยิ่งนานวันความรักยิ่งประทับแนบแน่นยิ่งขึ้น
  
         ต่อมาพระราชาได้ทราบข่าวของคนทั้งสองจึงไม่พอพระทัยทรงขัดขวางความรักทั้งสองอยู่ตลอดเวลา พระราชา  ทรงตรัสว่า  เจ้ารักกับราชนิกุลไม่ควรคู่กัน”  พระราชาต้องการให้พระธิดาอภิเษกสมรสกับเจ้าชายอีกเมือง
หนึ่ง ซึ่งเป็นราชตระกูลกษัตริย์เท่าเทียมกัน เมื่อเป็นเช่นนั้นพระราชาจึงตัดสินใจส่งพระธิดาไปฝากไว้กับเจ้าเมือง ๆ หนึ่ง
  
         รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  ทราบข่าวว่าพระราชาได้แยกคนรักของตนไปอยู่เมืองอื่น  จึงเกิดความแค้นเคืองเป็นยิ่ง
นักเจ้ารักจึงวางแผนฆ่าพระราชาอยู่ตลอดเวลาส่วนเจ้ายมคนน้องถึงแม้จะปมด้วยของชีวิตแต่ก็เป็นคนรอบคอบเป็นคน อารมณ์เย็นจึงได้มายับยั้งการวางแผนฆ่าพระราชาเพราะมันจะมีความผิดอย่างมหันต์
  
         สามวันผ่านมาเจ้ารักก็กินไม่ได้นอนไม่หลับจะนั่งจะเดินก็กระสับกระส่ายอยู่ตลอดเวลาเพราะด้วยพิษรักอันแสนเสน่หาของพระธิดาองค์นั้น  จึงหน้ามืดตามัว  คิดจะปลงพระชนม์จึงได้ลอบเข้าไปในพระราชวัง  จนถึงห้องบรรทมของพระราชาและได้ใช้อาวุธคู่มือ  สับพระราชาอย่างไม่มีชิ้นดี  จนพระราชาสิ้นพระชนม์
  
        เมื่อฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ทราบข่าวการกระทำของ  รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก)  จึงเกิดความโกรธแค้นเคืองยิ่งนัก ที่ศิษย์ของตนละเมิดคำสั่งสอน  จึงได้เรียกกุมารทั้งสองกลับมาเมื่อกุมารทั้งสองเดินทางกลับมาถึงอารมของฤๅษีพหลผู้เป็นอาจารย์  เจ้ารักจึงได้สำนึกผิดและได้สารภาพต่อผู้เป็นพระอาจารย์และมีความเสียใจเป็นอย่างยิ่งที่ละเมิดคำ สั่งสอนของพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงได้ตัดสินใจให้รัตตะกุมาร  (เจ้ารัก) สละเพศฆราวาส  ให้บวชประพฤติตนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อลบรอยมลทินที่ได้สร้างมาจนกว่าจะสิ้นชีวิตจากโลกไป


  
         ส่วนยมกะกุมารหรือเจ้ายมนั้น  ครั้นเมื่อสู่วัยชราจึงได้สละเพศฆราวาสได้ออกบวชตามพี่ชาย  (เจ้ารัก)  เพื่อบำเพ็ญศีลภาวนา  ตามอาศรมของพระฤๅษีในสถานที่ต่าง ๆ ทั่วไป ต่อมาฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ถึงวัยชราใกล้ถึงการอายุขัย  ย่อมหนีกฏแห่งกรรมไม่พ้นคือ  มีเกิดก็ต้องมีดับเหมือนกันทุกชีวิต  ฤๅษีพหลจึงเรียกสองนักบวชผู้เป็นศิษย์มาพบอีกครั้งหนึ่งเมื่อสองพระกุมารมาพบพระอาจารย์ฤๅษีพหลจึงถามศิษย์ทั้งสองว่า  อยากได้อะไรที่เหนือกว่าโลกนี้”  สองจะปฏิบัติตามคำอาจารย์หมดทุกอย่าง”  ฤๅษีพหลจึงให้พรว่า  เจ้าทั้งสองแม้จะไปเกิดชาติปางใดก็ตามขอให้เสน่ห์เป็นที่รักของคนทั่ว ๆ ไป  จะไม่มีศัตรูทั้งปวงจะไปเกิดบนโลกมนุษย์ไม่ได้  ท่านทั้งสองจะต้องเป็นวัตถุ  แต่ไม่มีชีวิตจิตใจวัตถุสิ่งนั้นจะต้องดังมีชื่อเสียงก้องยืนนาน
  
         เมื่อฤๅษีพหลกล่าวพรจบทานก็ถึงกาลกิริยาวิญญาณ  ก็ออกจากร่างไป  ณ  ที่นั้น  พระกุมารทั้งสองจึงได้ทำการขุดหลุมฝังศพของฤๅษีพหลผู้เป็นพระอาจารย์ในที่นั้น  ต่อมาไม่นานหลุมฝังศพของฤๅษีพหลก็เกิดมีไม้ชนิดหนึ่งขึ้นมา  มีดอกซ้อนแพรวพราวอันสวยงาม  แถมยังเป็นไม้ที่ปวงชนรักใคร่กันทั่วไป  ดังประชาชนที่เรียกกันทุกวันนี้ว่า
ต้นรักซ้อน
  

         ต่อมาก็ได้มีพันธ์ไม้อีกชนิดหนึ่งได้ขึ้นคู่เคียงกับต้นรักซ้อนมีผลชูช่ออันตระกานตาจนภายหลังมีชื่อขานนามว่ารักยม  ต่อมาชาวบ้านจึงเรียกกันว่ามะยมด้วยข้อมูลที่ได้กล่าวมาแล้วนั้นนักปราชญ์  คณาจารย์ต่างคิดค้นทำรักยกกันขึ้นมา  นี่แหละครับความเป็นมาของรักยมรวมทั้งข้อมูลต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว


       ผมเองก็เคยเจอฤิทธิ์ของเจ้าเครื่องรางประเภทนี้มากับตัวเองแล้ว กล่าวคือเมื่อตอนผมเป็นวัยรุ่นผมไปนอนค้างที่บ้านของอาผม ห้องที่ผมนอนผมนอนคนเดียว บ่ายวันหนึ่งว่างๆ ไม่ได้ไปไหนผมก็งีบนอนสักพัก ก่อนนอนก็ถอดพระที่แขวนคอ(หลวงปู่ทวด วัดบางนอน รุ่นแรก) ออกห้อยไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง และก็นอนหลับไป พอหลับไปได้พักใหญ่ก็โดนผีอำ ชะชะชะ....กล้ามาอำชัช ผมก็ดิ้นสู้มัน 

     สู้ยังไงก็ไม่หลุด มองไปรอบห้องทั้งๆที่ยังหลับก็เห็นพระที่แขวนไว้ที่โต๊ะเครื่องแป้ง พอจิตมุ่งไปที่พระเท่านั้นแหละ ความรู้สึกเหมือนกับมีอะไร คล้ายกระแสไฟแตกดังเปรี๊ยะ แล้วกระเด็นไปตกบนหลังตู้ที่ตั้งอยู่ปลายตีนเตียง พอดิ้นหลุดลุกขึ้นได้ก็ไม่รอช้า โดดจากเตียงไปคว้าพระมาแขวนคอทันที ไม่เท่านั้นยังเอาเก้าอี้มาปีนดูหลังตู้ด้วย เพราะอยากรู้ว่ามันคืออะไร??

    พอปีนเก้าอี้ขึ้นไปดูก็เห็นขันโลหะขนาดย่อมๆใบนึง ข้างในใส่พวกเหรียญพระสีผึ้งตะกรุดเล็กตะกรุดน้อย และขวดรัก-ยมทีมัดรวบไว้ด้วยกันอีกประมาณ 20 กว่าขวด ผมก็..ชะชะชะ...รู้ละว่าอะไร เดี๊ยวพ่อเอาเผาไฟให้วายวอด แต่มานึกดูน่าจะเป็นของอาเขย เพราะขานั้นก็ชอบเล่นพระเครื่องเหมือนกัน เลยอย่าทำให้เสียน้ำใจกันดีกว่า แต่ว่านะห้องของอาเขยกับอาผมก็มี ห้องพระก็มี ทำไมไม่เอาไปไว้ กลับเอามาไว้ห้องรับรองแขก แต่ช่างเถอะผมก็เลยเอาขันเจ้าปัญหาไปซ่อนไว้ที่ห้องอื่นแทน ....  อิอิ
      
       สำหรับรัก-ยมของหลวงปู่ตัวผมเองไม่ได้เจอประสบการณ์ตรง กับตัวเองแต่น้องสาวเป็นคนเจอ เรื่องมันมีอยู่ว่า.........น้องสาวผมกับแฟนของเขาได้ไปทำบุญที่วัดหัวลำโพง และได้ไปบูชารักยมมา 1 ขวด ซึ่งในตอนนั้นน้องสาวผมกับแฟนเขาก็ไม่ได้สนใจ ว่าของวัดไหนหลวงพ่ออะไรอยากได้ก็บูชามา  เมื่อนำกลับมาบูชาที่บ้านของเค้าได้สักพักก็เกิดเรื่องแปลกๆ คือมีเสียงก๊อกแก๊กๆ ในบ้าน  2 คนนี่ก็ชักกลัว จนถึงจุดไคลแม๊กซ์จากเสียงก๊อกแก๊กๆ คราวนี้ ราวตากผ้า....เลื่อนเองได้....เหมือนมีคนเข็น ให้เขาได้เห็นกับตา............????!!!!!!!

       เจ้าน้องสาวผมก็เลยโทรมาปรึกษาผม อธิบายเล่าเรื่องอย่างกับผมเป็น พี่ป๋อง กพล ทองพลับ ที่กำลังออนแอร์ และขอร้องให้ช่วยมาเอารัก-ยมไปที เขาไม่กล้าไปหยิบไปจับเพราะมันหลอนเสียนี่กระไร ผมเองก็อยากรู้ว่าของอาจารย์ไหนหนอถึงได้เฮี้ยนปานนี้ เพราะถามน้องสาวเขาก็บอกว่าไม่รู้ อยากได้ก็บูชามาไม่ได้สนใจว่าเป็นของใครเสกใครสร้าง  ตกเย็นมาเลิกงานก็เลยแวะไปเอารัก-ยมที่ว่า

      พอไปถึงผมก็ไปหยิบเอาลงมาจากหิ้งพระเขา เอามาส่องๆดู ก็เห็นสัญลักษณ์*บ่งบอกชัดเจนว่าเป็นของ .....หลวงปู่หงษ์ พรหมปัญโญ.....อ้าว....ของอาจารย์เรานี่เอง ถึงว่าทำไมถึงได้ขลังนักหนา ก็เลยคืนรักยมให้เขาไปพร้อมกับบอกเล่าว่าเป็นของหลวงปู่หงษ์ อาจารย์ของพี่เองไม่ต้องกลัวไม่ให้โทษ เอากลับไปบูชาให้ดี ถ้าไม่ไหวจริงๆ เดี๊ยวจะมาเอาไปบูชาเอง 
หลังจากวันนั้นก็ไม่เห็นน้องสาวผม โทรมาเล่าเรื่องราวสยองขวัญสั่นประสาทอะไรอีก 


ป.ล. ลักษณะเหมือนอย่างในรูปนี้แต่ผมไม่ทราบชื่อรุ่น และไม่ทราบว่าใครสร้างออกที่ไหน จึงไม่ได้ลงรายละเอียดไว้ให้ชัดเจน

*สัญลักษณ์ที่บอกว่าเป็นของหลวงปู่ ผมจำไม่ได้ว่าเป็นอะไรเพราะเรื่องมันนานมากแล้ว น่าจะเป็น...นะเมติ....หรือไม่ก็....ชื่อหลวงปู่....ต้องขออภัยที่จำไม่ได้ข้อมูลเลยไม่แน่นนัก

http://www.kumanthongsiam.com/webboards/212214/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81-%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9B%E0%B8%B9%E0%B9%88%E0%B8%AB%E0%B8%87%E0%B8%A9%E0%B9%8C-%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%AA%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%AA%E0%B8%94%E0%B9%86%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B8%A2.html


ข้อมูลเรื่องรักยมจากเว็ป อิทธิ-ปาฏิหารย์ ต้องขออนุญาติด้วยครับ
 
http://www.itti-patihan.com/%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A1-%E0%B8%95%E0%B8%B3%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A1%E0%B9%81%E0%B8%A5%E0%B8%B0%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%81%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%94%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A2%E0%B8%A1.html



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น